EX
ONEP
สูญพันธ์
กระซู่มีลักษณะหนังสีน้ำตาลแดง ขนสั้นสีเทาดำถึงน้ำตาลแดง มีรอยย่นพับอยู่ 3 แห่ง คือ บริเวณโคนขาหน้าด้านหนึ่งพาดผ่านไปยังโคนขาหน้าอีกด้านหนึ่ง บริเวณรอบเอว และบริเวณโคนขาหลังด้านหนึ่งผ่านสะโพกไปยังโคนขาหลังอีกด้านหนึ่ง กระซู่สามารถหนักได้ตั้งแต่ 400 ถึง 1,000 กิโลกรัม
กระซู่มักหากินตัวเดียวตามลำพัง (ยกเว้นช่วงฤดูผสมพันธุ์) ตัวเมียมีอาณาเขตอย่างชัดเจน แตกต่างจากตัวผู้ที่มีอาณาเขตไม่แน่นอน กระซู่อาศัยอยู่ได้ทั้งในป่าดงดิบหรือที่ราบที่มีแหล่งน้ำ ลำธาร แม้แต่ไหล่เขาที่สูงชัน รวมถึงในพื้นที่ที่มีร่มไม้ และปลัก
กระซู่เป็นสัตว์กินพืช อาหารหลัก คือ ใบไม้ ต้นหญ้า พืชผัก ต้นอ่อนของพืช หรือต้นไม้ขนาดเล็ก รวมทั้งพืชที่ขึ้นริมน้ำ และผลไม้ชนิดต่าง ๆ
ตัวเมียสามารถสืบพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป ส่วนตัวผู้สืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ 7 ปี ตัวเมียตั้งท้องนาน 14 ถึง 17 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว หลังจากคลอดลูกแล้วจะทิ้งช่วงประมาณ 4 ปี จึงสามารถตั้งท้องได้อีกครั้ง
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกตัดไม้ในพื้นที่ที่มีกระซู่อาศัยอยู่ ทำให้กระซู่สูญเสียถิ่นอาศัยและพื้นที่หากิน ส่งผลให้จำนวนของกระซู่ในประเทศไทยลดลง จนสูญพันธุ์ไปในที่สุด
CR
ONEP
เสี่ยงสูญพันธ์อย่างยิ่ง
‘กวางผา’ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม กลุ่มแพะภูเขา รูปร่างคล้ายเลียงผาแต่มีขนาดเล็กกว่า ลำตัวมีขนสีน้ำตาลอมเทาและแถบสีน้ำตาลเข้มพาดกลางหลัง คอมีแต้มสีขาว และขนที่ปลายขาทั้งสี่สีขาว กวางผามีน้ำหนักประมาณ 22 ถึง 32 กิโลกรัม มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ในตัวผู้เขาจะมีลักษณะของฐานที่กว้างกว่า แหลมไปทางปลายและลู่ออกจากกัน ส่วนตัวเมียเขาจะมีลักษณะเรียวยาวโค้งลง ตรง และขนานกันทั้งสองข้าง
กวางผามักหากินตัวเดียวตามลำพัง หรือบางช่วงจะอาศัยอยู่กันเป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ (2 ถึง 6 ตัว) หากินในช่วงเช้าและเย็น กวางผาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับความสูงและความลาดชันมาก หน้าผาเปิดโล่ง ลานหินผา ไร่ร้าง หย่อมป่าตามร่องเขา และสามารถพบได้ที่ระดับความสูง 1,000 ถึง 4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
กวางผาเป็นสัตว์กินพืช ได้แก่ ยอดไม้ และหญ้าเป็นหลัก รองลงมาเป็นไม้ล้มลุก ผลไม้ และใบไม้พุ่มเตี้ย ๆ
กวางผาเข้าสู่วันเจริญพันธุ์ตอนอายุ 2 ถึง 3 ปี ผสมพันธุ์ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ระยะเวลาในการตั้งท้องอยู่ที่ประมาณ 6 ถึง 7 เดือน
สูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกและตัดไม้ทำลายป่า นำมาซึ่งการสูญเสียถิ่นอาศัย และพื้นที่หากิน
EX
ONEP
สูญพันธ์
กูปรี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มสัตว์กีบคู่ ตัวเมียลำตัวเป็นสีเทา ส่วนตัวผู้จะมีสีดำ ตอนยังเด็ก กูปรีมีขนตามตัวสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลูกวัวแดง มีหนอกหลังเป็นสันกล้ามเนื้อบาง ๆ ไม่โหนกหนาเหมือนกระทิง มีลักษณะเด่นที่เหนียงคอเป็นแผ่นหนังห้อยยานอยู่ใต้คอ กูปรีตัวผู้ที่มีอายุมากเหนียงคอจะห้อยยาวเกือบติดพื้น ทำหน้าที่ช่วยระบายความร้อนได้ ขนาดตัวของกูปรีโดยเฉลี่ยแล้ว ตัวผู้จะตัวใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมียมาก น้ำหนักตัวประมาณ 700 ถึง 900 กิโลกรัม กูปรีมีความยาวหางได้ถึง 1.11 เมตร ถือว่าเคยเป็นวัวป่าที่มีหางยาวที่สุดในประเทศไทย
กูปรีมักจะใช้เขาขวิดต้นไม้ กิ่งไม้ ตามเส้นทางที่เดินผ่าน หรือขวิดคุ้นดิน เพื่อหาแหล่งน้ำหรือดินโป่งกินตามป่าโปร่ง
กูปรีเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องกินพืชเป็นอาหาร พืชอาหารหลัก คือหญ้าต่าง ๆ กูปรีสามารถหาอาหารร่วมกับสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิดอื่นได้
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนเมษายน ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 9 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว ช่วงใกล้คลอด กูปรีแม่ลูกอ่อนจะแยกตัวออกจากฝูงเพื่อคลอดลูกและเลี้ยงลูกตามลำพังประมาณ 1 เดือน ก่อนจะพาลูกกลับเข้าฝูงดังเดิม
สภาวะสงครามในอดีต เนื่องจากพื้นที่ที่กูปรีอาศัยอยู่เป็นรอยต่อของชายแดน 3 ประเทศ การสูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกพื้นที่ป่า ทำให้กูปรีสูญเสียถิ่นอาศัยและพื้นที่หากินการค้าสัตว์ป่า กูปรีถูกล่าจากการนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปเป็นเครื่องประดับ ทำของขลัง และยารักษาโรค ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กูปรีลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และสูญพันธุ์ในที่สุด
EN
ONEP
ใกล้สูญพันธ์
เก้งหม้อหรือเก้งดำ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มของสัตว์เคี้ยวเอื้อง ประเทศไทยมีเก้ง 2 ชนิด คือ เก้งหม้อและเก้งธรรมดา ลักษณะเด่นของเก้งหม้อ คือ ขนบริเวณลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มออกคล้ำ ส่วนท้องมีสีขาวจาง ๆ หางสั้นขนปกคลุม เก้งหม้อมีเขาเฉพาะตัวผู้ โดยลักษณะเขามี 2 กิ่ง กิ่งหน้าสั้นและกิ่งหลังยาว บริเวณเขากิ่งสั้นจะถูกขนหนาตรงโคนเขาคลุมไว้ ซึ่งดูเหมือนเป็นกระจุกเล็ก ๆ อยู่บนหัว
เก้งหม้อมักอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ ตามลำพังในป่าดงดิบบนที่ราบสูง หรือภูเขา มีขนาดพื้นที่หากินประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร และออกหากินในช่วงเวลากลางวัน
เก้งหม้อเป็นสัตว์กินพืช พืชอาหารหลัก ได้แก่ ยอดไม้ และหญ้า รวมถึงใบไม้อ่อน เปลือกไม้ หน่อไม้อ่อน ผลไม้ และหญ้าระบัด
เก้งหม้อจะอยู่เป็นคู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตั้งท้องนานประมาณ 6 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกเก้งหม้อจะมีจุดสีขาวตามลำตัว เก้งหม้อมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 ปี
การล่า เพื่อนำเนื้อมาเป็นอาหาร หนัง และเขาของเก้งหม้อ ถูกนำไปทำเครื่องประดับสูญเสียถิ่นอาศัย จากการสร้างเขื่อน การบุกรุกป่า เพื่อลักลอบตัดไม้ทำลายป่าหรือการถางป่า เพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร ทำให้พื้นที่ป่าลดจำนวนลง ส่งผลให้ถิ่นอาศัยและพื้นที่หากินของเก้งหม้อลดลงตามไปด้วย