EW
ONEP
สูญพันธ์ในธรรมชาติ
นกกระเรียนพันธุ์ไทย โตเต็มวัยมี ลำตัวสีเทา หัวและคอตอนบนเป็น หนังสีแดง ปากและกระหม่อมสีเขียว ปลายปีกสีดำ และขนโคนปีกสีขาว ส่วนนกที่ยังไม่โตเต็มวัยจะมี ขนสีน้ำตาลอมเทา และขนที่หัวและคอสีน้ำตาลอมเหลือง
ดำรงชีวิตอยู่เป็นคู่ บางครั้งพบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากินตอนกลางวันอยู่ตามชายน้ำ หนอง บึง ทะเลสาบ ทุ่งนา ทุ่งหญ้าที่มีน้ำขัง หรือทุ่งหญ้าโล่ง ๆ
นกกระเรียนพันธุ์ไทยสามารถกินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ได้แก่ ธัญพืช เมล็ดหญ้า ราก และต้นอ่อนของพืชรวมถึง หนอน แมลง หอย ปู ปลา กบ เขียด และสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็ก ๆ เช่น งูน้ำ เป็นต้น
ในอดีตสามารถเห็นนกกระเรียนพันธุ์ไทยได้ตามทุ่งนาแทบทุกภาคของประเทศไทย แหล่งหากินตามพื้นที่ชุ่มน้ำ (wetland) เช่น หนอง บึง ทุ่งนา ทุ่งหญ้าที่มีน้ำขัง ทุ่งหญ้าโล่ง ๆ เนื่องจากนกกระเรียนพันธุ์ไทยมีวิวัฒนาการให้ไม่มีนิ้วเท้าหลังที่ใช้ในการเกาะต้นไม้ ทำให้นกกระเรียนพันธุ์ไทยต้องอาศัยและหากินในพื้นที่โล่ง ๆ และพื้นที่ชุ่มน้ำแทน
นกกระเรียนพันธุ์ไทยผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน มักจับคู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) ในช่วงหนึ่งฤดูกาลผสมพันธุ์ หากตัวใดตัวหนึ่งตายไปก่อน อีกตัวจะหาคู่ใหม่ หรือในช่วงฤดูผสมพันธุ์รอบใหม่จะเปลี่ยนคู่หรือใช้คู่เดิมก็ได้
การถูกล่าและสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งเป็นถิ่นอาศัย แหล่งหากินและทำรังวางไข่ของนกกระเรียนพันธุ์ไทยถูกทำลาย เปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และแหล่งชุมชน ทําให้ประชากรของนกกระเรียนพันธุ์ไทยลดน้อยลงและสุญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ
CR
ONEP
เสี่ยงสูญพันธ์อย่างยิ่ง
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกขนาดเล็กที่พบเฉพาะที่ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ มีลักษณะเด่นคือ ขนสีดำ ปากสีเหลือง มีวงรอบดวงตาสีขาว และมี แกนขนคล้ายลวดยาวจากขนหางคู่กลาง ส่วนนกที่ยังไม่โตเต็มวัยจะมีหัวและลำตัวด้านล่างสีน้ำตาลเข้ม และแกนขนที่หางจะสั้นกว่าหรือไม่มีเลย
เป็นนกที่อาศัยอยู่ตามป่ากก ป่าหญ้า ในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกที่ค่อนข้างเชื่อง ไม่ปราดเปรียว มักเกาะนิ่งเฉยอยู่บนพื้นดิน
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรกินแมลงเป็นอาหาร มักจะจับเหยื่อโดยการโฉบจับในอากาศ หลังจากการสังเกตทางกายภาพเบื้องต้นมีการสันนิษฐานว่า นกชนิดนี้อาจหากินได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
EN
ONEP
ใกล้สูญพันธ์
นกชนหิน เป็นนกเงือกขนาดใหญ่ที่มี น้ำหนักตัวมาก และมีลักษณะเด่นคือ ขนหางคู่กลางที่ยาวและเรียว ประมาณ 30-45 ซม. คอของตัวผู้มีหนังสีแดงเข้ม ส่วน ตัวเมียเป็นสีฟ้าอ่อนแกมม่วง ปากค่อนข้างสั้นและปลายปากกับโหนกมีสีเหลือง ส่วนที่เหลือเป็นสีแดงเข้ม
นกชนหินไม่สร้างรังเอง แต่จะใช้โพรงไม้ธรรมชาติ โดยเฉพาะจากต้นไม้ตระกูลยางนา (Dipterocapaceae) ซึ่งมีขนาดใหญ่และสูงมาก ฤดูทำรังจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม พฤษภาคม และพฤศจิกายน
นกชนหินส่วนใหญ่กินผลไม้เป็นหลัก โดยเฉพาะมะเดื่อที่มีหลากหลายชนิดในภาคใต้ของประเทศไทย รวมถึง ผลไม้ในวงศ์ยางโอน และวงศ์จันทน์เทศ จากงานวิจัยพบว่าเมล็ดที่ผ่านการย่อยเยื่อหุ้มเมล็ดจากนกเงือกกลับเจริญเติบโตได้ดีกว่าเมล็ดที่หล่นใต้ต้น อีกทั้งนกเงือกขนาดใหญ่จะคอยกระจายเมล็ดที่มีขนาดใหญ่ ที่สัตว์ขนาดเล็กไม่สามารถกินได้
นกชนหินอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล พบเฉพาะทางภาคใต้ ตั้งแต่คอคอดกระลงไป หายากและมีจำนวนประชากรน้อย
นกเงือกต้องอาศัยโพรงตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะเฉพาะต่อการดำรงชีวิต แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่ามีจำนวนลดลง จึงทำให้ต้นไม้หรือโพรงที่เหมาะมีปริมาณลดลงตามไปด้วย นกชนหินมีลักษณะโหนกที่แตกต่างจากนกเงือกชนิดอื่น คือ มีโหนกที่ตันเกือบทั้งชิ้น คล้ายกับนอแรด นกชนหินจึงถูกคุกคามจากการล่าเอาโหนกไปขายโดยมนุษย์ เพื่อนำไปทำเป็นเครื่องประดับ หรืองานศิลปะต่าง ๆ และในปัจจุบันนกชนหินถูกล่าโดยมนุษย์มากขึ้น ทำให้นกชนหินมีจำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง
CR
ONEP
เสี่ยงสูญพันธ์อย่างยิ่ง
นกแต้วแร้วท้องดำ มีลักษณะคล้ายนกแต้วแร้วลาย แต่มีหางสีน้ำเงินที่เข้มไม่เท่า ตัวผู้โดดเด่นด้วย หน้า กระหม่อม และหัวเป็นสีดำ คอและอกบนสีเหลืองสด และท้องสีดำ ส่วนตัวเมียจะมี กระหม่อมสีน้ำตาลแกมเหลือง มีแถบคาดตาสีน้ำตาลแกมดำ และอกกับท้องมีลายพาดสีเหลืองกับสีดำ
นกแต้วแร้วท้องดำมีพฤติกรรมการหากินด้วยการกระโดดจับแมลงบนพื้นดินกินหรืออาจขุดไส้เดือนขึ้นมากิน บางครั้งอาจจับกบ และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก โดยเฉพาะในช่วงมีลูกอ่อน
เป็นนกที่พบเฉพาะในป่าดงดิบชื้น และป่ารุ่นในระดับพื้นราบ ส่วนใหญ่หากินตามพื้นดิน บางครั้งก็พบเกาะตามกิ่งของไม้พุ่ม หรือตามขอนไม้ เมื่อมีสิ่งรบกวนหรือมีภัย จะกระโดดเข้าหลบซ่อนตัวตามพุ่มไม้ ถ้าหากจวนตัวจริง ๆ จะบินหนีแต่บินในระยะที่ไม่ไกล และระดับไม่สูงมาก
จะอยู่ในช่วงฤดูฝน ออกไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ลูกนกจะอยู่ในรังกับพ่อแม่ 8-14 วัน ขณะที่ขนขึ้นก็จะออกตามพ่อแม่ไปหาอาหาร และไม่กลับรังอีกเลย
การสูญเสียถิ่นอาศัย จากการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อการทำเกษตรกรรม การลับลอบค้าสัตว์ป่า รวมถึงได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ